เรื่องเล่า...จากเกาะจำ

Unseen in Koh Jum, Krabi Thailand
เรื่องเล่าจากเกาะจำ


เกาะจำหรือเกาะจัม ผมเองก็ไม่แน่ใจมากนักสำหรับการเขียนชื่อ ของเกาะแห่งนี้ ถึงแม้ผมจะหาข้อมูลและอ่านรายละเอียดจากอินเตอร์เน็ตมาบ้างก็ไม่ได้รับคำตอบที่แท้จริง แต่เบื้องต้นที่ผมทราบคือ ธรรมชาติและพระอาทิตย์ตกที่นี่จะสวยงามมาก เพียงแค่นั้นเอง คือจุดเริ่มต้นค้นหาความจริงสำหรับทริปนี้ของผม
เรามาฟังเรื่องเล่าประสบการณ์อันซีนบนเกาะจำของผมกันนะครับว่าธรรมชาติและพระอาทิตย์ตกที่นี่จะสวยงามเพียงแค่ไหนครับ !


จากข้อมูลที่ผมทราบและได้มา ถึงการเดินทางไปเกาะจำ เราสามารถขึ้นเรือเดินทางไปเกาะจำได้ 2 ท่าเรือ คือ 
- ท่าเรือโดยสารท่องเที่ยวกระบี่ (ท่าเรือคลองจิหลาด) ซึ่งห่างจากตัวเมืองกระบี่ไม่มากนัก แต่จะมีเรือวิ่งไปเกาะจำเฉพาะช่วงเช้าเพียงเท่านั้น
- ท่าเรือบ้านแหลมกรวด ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ซึ่งท่าเรือนี้ จะมีเรือหางยาวและเรือโดยสารที่สามารถบรรทุกรถมอเตอร์ไซค์ข้ามไปเกาะจำได้ และจะมีเรือวิ่งตลอดจนถึง 5 โมงเย็น
จากข้อมูล ท่าเรือบ้านแหลมกรวด คือท่าเรือที่ผมจะเดินไปขึ้นเรือเพื่อมุ่งหน้าสู่เกาะจำ


ผมขับรถออกจากอ่าวนาง มาถึงอำเภอเหนือคลอง ผมเจอกับฝนที่ตกลงมาค่อนข้างหนักใช้ได้ ผมภาวนาในใจ ขอให้ฝนหยุดตกเร็วๆ และฝนไม่ตกที่เกาะจำด้วยนะครับ สักพักผมก็มาถึงท่าเรือบ้านแหลมกรวดประมาณบ่ายสาม ผมโชคดีครับ ที่นี่ฝนหยุดตกแล้ว ผมก็รีบหาที่รับฝากรถ ซึ่งเราจะเห็นป้ายรับฝากรถได้โดยง่าย และผมเองก็ได้สอบถามพี่คนรับฝากรถเรื่องการเดินทางไปเกาะจำ พี่เขาบอกกับผมว่า จะมีเรือออกอีกครั้งตอน 4 โมงเย็น แต่เป็นเรือชนิดบรรทุกสินค้า (คือเรือที่สามารถเอารถมอเตอร์ไซค์ขึ้นเรือไปได้) เพราะเรือหางยาวหมดเที่ยววิ่งแล้วในวันนี้ และพี่เขาก็จัดแจงพาผมไปที่เรือบรรทุกสินค้าซึ่งจอดรออยู่แล้ว 
ขอบคุณครับ ผมกล่าวบอกกับพี่คนรับฝากรถ ระหว่างรอเรือออกเดินทาง ผมจึงพอมีเวลาได้เก็บภาพของท่าเรือบ้านแหลมกรวดอยู่บ้าง ถ่ายภาพเสร็จผมจึงมาคุยกับคนขับเรือและคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้น ผมจึงทราบว่า บริเวณที่เรือบรรทุกสินค้าจอดนั้น เขาเรียกกันว่า ท่าเรือ อบต. ขอบอกครับว่า คนที่นี่เป็นมิตรมากๆ ครับ ต่างคนก็ต่างแนะนำในข้อมูลที่ตัวเองทราบให้กับผมฟัง และเขาจะทราบข้อมูลของเกาะจำกันเป็นอย่างดี เท่าที่ผมฟังๆ ดู
และผมเองก็ได้พี่คนนึงติดต่อแนะนำถึงรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างบนเกาะจำ เพราะผมถามพี่เขาถึงการเช่ามอเตอร์ไซค์บนเกาะจำ


พี่คนนั้นก็จัดแจงโทรหารถมอเตอร์ไซต์รับจ้างบนเกาะจำ แล้วบอกกับผมว่า พอถึงฝั่งบนเกาะจำเขาจะมารออยู่ ผมกล่าวขอบคุณพร้อมเดินไปนั่งบนเรือ
4 โมงเย็นเศษๆ เรือออกเดินทางจากท่าเรือ มู่งหน้าสู่เกาะจำ ตอนนี้เรือลำที่ผมนั่งเต็มไปด้วยสินค้าและมอเตอร์ไซค์พร้อมกับคนที่เดินทางไปเกาะจำประมาณ 10 กว่าคน และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติครอบครัวหนึ่ง เดินทางไปพร้อมกับผมด้วย แต่ผมก็ไม่แปลกใจมากนัก เพราะผมมักเจอกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทุกพื้นที่ ที่ผมเดินทางไป


ระหว่างนั่งเรือผมก็ได้ถ่ายภาพย้อนกลับไปบริเวณท่าเรือบ้านแหลมกรวด ซึ่งดูแล้วสวยงามแปลกตา สำหรับผมครับ


จากเส้นทางเดินเรือผมมองเห็นเกาะเล็กๆอยู่เรียงราย วิถีชาวบ้านบริเวณนั้น พร้อมกับผืนป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ และผมเองก็ยังคงคิดอยู่ในใจว่า สภาพเกาะจำจะเป็นอย่างไรนะ นึกภาพไม่ออกเหมือนกันครับ 
ตอนนี้ลมค่อนข้างพัดแรงและผมเองก็นั่งอยู่บริเวณหัวเรือเพราะกลางลำเรือเต็มไปด้วยมอเตอร์ไซค์และสินค้า ส่วนท้ายเรือก็เต็มไปด้วยผู้คน ไม่มีที่นั่งอีกแล้ว ปรากฏว่าผมเจอกับคลื่นที่ซัดมากระทบกับลำเรือ ทำเอาผมเปียกไปไม่ใช่น้อยครับ!!! ดีที่ผมติดร่มในกระเป๋ามาด้วย พอช่วยกันคลื่นและแสงแดดยามเย็นให้กับผมได้ (ดังนั้นการเดินทางอย่าลืมพกร่มติดตัวนะครับ)


นั่งเรือมาได้ประมาณ 45 นาทีผมเริ่มมองเห็นอีกฝั่งแล้ว และกัปตันเรือชลอความเร็วลง ท่าเรือข้างหน้า คงจะเป็นเกาะจำเป็นแน่ ผมคิดในใจ
เมื่อเรือจอดผมเดินลงขึ้นไปบนฝั่ง คนที่มาด้วยกันในเรือทั้งหมดต่างคนต่างแยกย้ายกันไป และผมก็มองเห็นพี่คนนึง ขับสามล้อพ่วงยิ้มให้กับผม พร้อมถามว่า ที่จองรถไว้บนฝั่งแหลมกรวดหรือเปล่า ผมบอกใช่ครับ พี่เขาก็บอกงั้นขึ้นรถเลย ผมเลยถามพี่คนนั้นว่า ท่าเรือนี้เขาเรียกว่าท่าเรืออะไร ท่าเรือมูตู พี่เขาบอกกับผม
ครั้งแรกที่ผมเจอกับถนนบนเกาะจำ ผมค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อย เพราะเส้นทางแบบนี้แทบไม่มีให้ผมเห็นแล้วครับที่บ้านของผม มันคือถนนลูกรังบวกกับร่องน้ำที่ไหลผ่าน ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ แต่ก็เป็นเพียงแค่ถนนบางช่วงบางตอนนะครับ ถนนบางช่วงก็มีการปูคอนกรีตบ้างแล้ว และถนนบางช่วงผมเห็นกำลังมีการขยายถนนเพื่อปูคอนกรีตครับ อีกสักระยะถนนที่นี่ก็คงจะดีขึ้นแน่นอนครับ
ระหว่างนั่งรถไปเพื่อที่ผมจะไปเช่ามอเตอร์ไซค์ พี่เขาก็จะบอกสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆให้ผมฟัง พูดคุยกันไปต่างๆนาๆ จนผมทราบชื่อ คือพี่โอ๋ พี่เขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมากครับ ทำให้ผมทราบข้อมูลหลายๆอย่างบนเกาะจำได้โดยเร็ว แถมพี่โอ๋ยังขับรถพาผมไปชมหมู่บ้านชาวเลด้วยครับ (ผมแอบคิดในใจเดี๋ยวผมจะขับรถมาอีกรอบ)


ตอนนี้ผมมาถึงร้านให้เช่ามอเตอร์ไซค์แล้วครับ ติดต่อ ตกลง และจ่ายเงินอะไรเรียบร้อยแล้ว ผมเดินออกมาข้างนอกร้านมองดูรอบๆ ดูเหมือนที่บริเวณนี้เป็นท่าเรือ ผมเลยถามพี่ร้านมอเตอร์ไซค์เช่าว่าเป็นท่าเรืออะไร พี่เขาตอบว่า เป็นท่าเรือบ้านเกาะจำ ผมเลยเดินไปที่ท่าเรือเพื่อทำการถ่ายภาพ และผมเองก็เจอกับป้าย
บ้านเกาะจำ BAN KOH JUM ม.3 ต.เกาะศรีบอยา อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ 
ป้ายนั้นทำให้ผมแน่ใจและไม่สับสนกับการเขียนชื่อเกาะแห่งนี้อีกต่อไป 
เรามาทำความรู้จักกับเกาะจำแบบจริงๆจังๆกันหน่อยนะครับ
 เกาะปู เกาะจำ อยู่ในเขตตำบลเกาะศรีบอยา ประกอบไปด้วย 3 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านเกาะปูหมู่บ้านเกาะจำและหมู่บ้านติงไหร ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนยางพาราและประมง 
เดิมเกาะปูและเกาะจำเป็นคนละเกาะกัน โดยเกาะปูคือเกาะขนาดใหญ่ ที่อยู่ทางทิศตะวันตก ขณะที่เกาะจำคือเกาะเล็กๆ ที่อยู่ถัดออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะปู ซึ่งปัจจุบันคือเกาะจำนุ้ย เกาะจำนุ้ยนั้นเคยเป็นที่อยู่ของชาวเลมาก่อน ต่อมาเกิดโรคระบาด ชาวเลจึงได้อพยพออกมาอยู่ทางตอนใต้ของเกาะปู และเรียกบริเวณใหม่ที่ย้ายไปอยู่ว่า “เกาะจำ” อีกทำให้เกาะปูมีชื่อเรียกต่อท้ายว่าเกาะจำพ่วงไปด้วย กลายเป็น “เกาะปู - เกาะจำ”
คำว่า “เกาะจำ” ภาษาชาวเลเรียกว่า “ปูเลากระจั๊บ” ปูเลา หมายถึง เกาะ ส่วนกะจั๊บ คือต้นจาก เนื่องจากเดิมเกาะนี้มีต้นจากขึ้นอยู่มาก สามารถตัดมาผูกด้วยเชือกหรือเส้นด้ายกลายเป็น “ตับจาก” ใช้มุงหลังคาได้ คำว่าเกาะจำจึงน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า “กะจั๊บ” นั้นเอง อย่างไรก็ดีบางท่านก็ให้ความเห็นว่า บริเวณบ้านเกาะจำแห่งใหม่ที่ชาวเลอพยพไปอยู่นั้น มีชื่อเรียกว่า “ปูเลาลักอะค้อย” แปลว่า เกาะนกออก ซึ่งนกออกในที่นี้เป็นชื่อนกชนิดหนึ่ง มีขนสีค่อนข้างขาวหรือสีครีม เป็นนกทะเล ที่มาพักอาศัยอยู่บนเกาะนี้เป็นประจำ “จำ” ในที่นี้จึงหมายถึง “จำที่” คือ นกมาเกาะในที่เดิมเป็นประจำทุกครั้ง ชาวเลจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “เกาะจำ”


จากคำบอกเล่าของชาวบ้านหมู่ 3 บ้านเกาะจำ โดยนายสุวรรณ  สุขทอง (อายุ 75 ปี) กล่าวว่าใน พ.ศ.2498 มีการตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านเกาะจำอยู่ประมาณ 70 - 80 ครัวเรือน สภาพสังคมประกอบไปด้วยชาวเล  ซึ่งเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมในบริเวณนี้ มีชาวจีนอาศัยอยู่นานมากกว่าหนึ่งร้อยปี โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณต้นไทรใหญ่ ซึ่งชาวจีนกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาในบริเวณนี้ได้เจอชาวเลอาศัยอยู่ก่อนหน้าแล้ว
นอกจากนี้ยังมีชาวมุสลิมที่อพยพมาจากพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาอาศัยกระจัดกระจายอยู่ในหมู่บ้านด้วย ทำให้ปัจจุบันบ้านเกาะจำมีกลุ่มประชากรอาศัยอยู่อย่างหลากหลายมากที่สุด คือ 
ประกอบไปด้วยชาวพุทธ – มุสลิมเชื้อสายจีน ประมาณร้อยละ 20  ชาวไทยมุสลิมพื้นถิ่นใต้ ประมาณ ร้อยละ 40 และชาวไทยใหม่ (ชาวเล/ชาวน้ำ) อีกประมาณ ร้อยละ 40 
ส่วนประวัติการตั้งชุมชนหมู่ 2 บ้านเกาะปู เกิดจากการอพยพผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวมุสลิมพื้นถิ่นใต้จากบริเวณใกล้เคียงมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้ จากคำบอกเล่าของชาวบ้านพบว่าชุมชนบ้านเกาะปูเริ่มก่อตั้งมายาวนานมากกว่า 200 ปี ต่อมาเมื่อมีการตั้งถิ่นฐานมากขึ้นทั้งทางตอนใต้ของเกาะ (บริเวณบ้านเกาะจำ) และทางตอนบนของเกาะ (บ้านเกาะปู) ผู้คนที่อพยพมาใหม่ จึงจับจองพื้นที่ลึกเข้าไปในแผ่นดินมากขึ้น และได้แยกเขตการปกครองออกเป็น หมู่ 5 บ้านติงไหร คำว่า “ติงไหร” เป็นภาษามลายู แปลว่า “ทิ้งไว้” (สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะศรีบอยา)
รู้จักเกาะจำกันพอสมควรแล้ว มาต่อด้วยเรื่องเล่าจากเกาะจำของผมกันต่อนะครับ


เกาะเล็กๆในภาพเป็นด้านหน้าของท่าเรือบ้านเกาะจำครับ ซึ่งผมมองออกไป ทำให้ผมค่อนข้างสงสัยและอยากจะข้ามไปเหมือนกันว่ามันคือเกาะอะไร? แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ครับ เพราะผมมีเวลาไม่มากนัก แต่ที่ผมเห็นคือมีชายหาดที่สวยงามทีเดียวเลยครับ ผมถ่ายภาพอยู่บริเวณท่าเรือเกาะจำอยู่สักพัก ผมก็เดินกลับไปร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ผมถามกับพี่เจ้าของร้านว่า ทำไมเรือไม่วิ่งมาจอดท่าเรือตรงนี้เลยล่ะครับ พี่เขาตอบผมว่า มีเรือมาจอดที่นี่เหมือนกันแต่เฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น.


ตอนนี้ผมได้เพื่อนซี้ คู่ใจ 250 บนเกาะจำแล้วครับ (250 คือราคาเช่า) พร้อมออกเดินทาง ผมขับมอเตอร์ไซค์ย้อนกลับไป ตรงไปสู่หมู่บ้านชาวเล เพื่อขอไปถ่ายภาพก่อนครับ ผมต้องทำเวลาเหมือนกัน เพราะเป้าหมายของผมคือ พระอาทิตย์ตกดินในวันนี้


สิ่งที่ผมพบเจอบริเวณหมู่บ้านชาวเล คือ อุปกรณ์เครื่องมือเพื่อออกทะเลแบบชาวบ้านจำนวนหลากหลายครับ บางชนิดผมเองก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกันครับ หลังจากที่ถ่ายภาพเสร็จผมก็รีบขับรถไปหาที่พักเพื่อเก็บกระเป๋า จากที่ได้คำแนะนำของพี่โอ๋ ทำให้ผมทราบถึงที่พักพอสมควร ผมเลยตรงดิ่งไปตรงนั้นเลย ผมขับรถมาถึงที่พักตามคำบอกเล่าของพี่โอ๋ เชื่อไหมครับว่า กว่าผมจะหาที่ติดต่อเพื่อเช่าที่พักได้ ทำเอาผมเหงื่อไหลเหมือนกัน เพราะผมเจอแต่ห้องพัก ไม่เจอสถานที่ติดต่อ ผมเดินเวียนอยู่หลายรอบ เกือบคิดว่ามาผิดที่เหมือนกันครับ ที่ไหนได้สถานที่ติดต่อไปอยู่ตรงบริเวณด้านหน้าชายหาด (ซึ่งมันต่างจากที่พักโดยปกติที่ผมรู้จักคือต้องเจอสถานที่ติดต่อก่อน)
ผมเข้าไปสอบถาม สวัสดีครับ มีห้องพักว่างหรือเปล่าครับ? พี่ผู้หญิงมองหน้าผม เหมือนจะงงๆ นิดหน่อย พร้อมกับถามผมว่า เป็นใคร มาจากไหน? ผมเองก็ยิ่งงงเข้าใหญ่ คิดในใจ มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย? ผมตอบว่า ผมมาเที่ยวครับ จะขอเช่าที่พักที่นี่ 1 คืนครับ มีห้องว่างไหมครับ? ครั้งนี้ดูเหมือนพี่เขาจะเข้าใจ บอกกับผมว่า ว่างพอดีเลย 1 ห้อง แต่เป็นห้องพัดลมนะ ราคา 800 บาท พร้อมกับชี้นิ้วให้ผมดู บังกะโลเป็นหลัง ผมตอบตกลงพร้อมถามต่อไปว่า ต้องกรอกเอกสารอะไรหรือเปล่าครับ? พี่ผู้หญิงยิ้มๆ พร้อมพูดกับผมว่า กรอกอะไรเหรอ ไม่มี ไม่ต้องกรอกอะไรหรอก พรุ่งนี้ ตอน 11.30 น.ค่อยมาจ่ายเงินนะพร้อมกับให้กุญแจกับผม ผมก็ตกลงตามนั้น ผมเดินไปห้องพักพร้อมกับคิดในใจ อืมม...เข้าใจล่ะว่าทำไมไม่ต้องกรอกเอกสารอะไร เพราะถึงอย่างไร ผมก็หนีไปไหนไม่ได้เพราะนี่มันคือเกาะ
ผมมาถึงห้องพักบังกะโลรีบจัดวางกระเป๋า เอาอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อจะเดินทางไปชมพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งชาดหาดที่ผมจะไปคือ หาดติงไหร ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับที่พักของผมครับ


ทันทีที่ผมเดินมาถึงหาดติงไหร ผมค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันครับ ที่นี่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะเหมือนกัน ทำเอาผมงงไปเลย นักท่องเที่ยวต่างชาติมาที่นี่ได้อย่างไร? แต่ส่วนใหญ่ผมสังเกต จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีอายุหน่อย เน้นการพักผ่อนแบบธรรมชาติ สงบเงียบครับ ส่วนตัวผมเอง ว้าว...สวยงามมากเลย หาดทรายยังคงเป็นธรรมชาติอยู่มากๆ รู้สึกสดชื่นด้วยอากาศที่บริสุทธิ์จริงๆครับ


ถึงแม้หาดทรายที่หาดติงไหรจะไม่สวยงามมากนัก ไม่ได้เป็นหาดทรายขาว แต่บริเวณพื้นทรายเต็มไปด้วย ก้อนหินและเปลือกหอยที่บ่งบอกถึงธรรมชาติ เป็นทะเลในยุคที่ผมหาชมได้ยากครับ


ผมเดินชมชายหาดไปเรื่อยๆ ถ่ายภาพไปบ้าง เพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกดิน ก็มาถึงบริเวณโขดหิน ผมเลยขึ้นไปบนนั้น มองลงมาเห็นน้ำทะเลใสๆ กับโขดหิน ดูแล้วรู้สึกเป็นภาพที่เย็นตาดีสำหรับผมครับ


น่าเสียดายที่วันนี้มีเมฆมาก ทำให้ผมไม่สามารถชมพระอาทิตย์ตกดินได้ ดั่งใจหวัง แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากนักในตอนนี้ เพราะเพียงผมได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ สำหรับผมแล้วเป็นภาพสวยงามไปอีกแบบครับ


ผมนั่งๆ เดินๆ อยู่บนหาดติงไหร ถ่ายภาพไปเรื่อย เพราะผมคิดว่า สำหรับวันนี้ ผมคงปิดฉากกับหาดที่นี่ครับ ระหว่างนั้น ผมได้เห็นภาพชาวบ้านบริเวณนั้นกำลังช่วยกันทำอะไรสักอย่างนึงในลำเรือ หรือน่าจะกำลังใช้อวนจับปลากัน ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆครับ


ที่ไหนมีทะเลที่นั้นย่อมมีเรือ แต่เรือที่จอดกันคนละสถานที่ ความสวยงามย่อมที่จะต่างกัน จริงไหมครับ...?
ผมรู้สึกเหนื่อยและหิวข้าวแล้ว ผมจึงเดินกลับไปที่ร้านอาหารของบังกะโล นั่งพักและสั่งอาหาร นั่งรออาหารอยู่สักพัก รู้สึกสงสัยทำไมเขาไม่เปิดไฟกันนะ เพราะตอนนี้มันก็เริ่มมืดแล้ว หรือว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า? หรือเขาจะเปิดไฟฟ้าเป็นเวลา? พอดีเขาเอาอาหารที่สั่งมาให้ผม ผมเลยถามเขาว่า ที่นี่มีไฟฟ้าไหมครับ? (เพราะเท่าที่ผมทราบ บางบังกะโลยังไม่มีไฟฟ้าใช้ครับ) เขาบอกผมที่นี่มีไฟฟ้า แต่วันนี้ไฟฟ้าดับ เขาบอกผมเดี๋ยวจะเอาเทียนมาให้ สรุปคือผมได้นั่งทานข้าวในบรรยากาศของแสงเทียนไปโดยปริยายครับ


ทานข้าวเสร็จผมก็เดินไปที่พักบังกะโล รีบไปเปิดก๊อกน้ำ ว่าน้ำไหลหรือเปล่า ดีครับที่น้ำไหล ทำให้ผมอาบน้ำได้ ส่วนบังกะโลไม่มีไฟฉายและเทียนให้นะครับ ดีที่โทรศัพท์มือถือของผมเป็นแบบใช้ไฟฉายได้ เลยทำให้บังกะโลของผมพอมีแสงสว่างมองเห็นอยู่บ้าง


อาบน้ำเสร็จผมเดินออกมานอกห้อง มองออกไปที่ร้านอาหาร ตอนนี้ที่ร้านอาหารมีไฟฟ้าจ่ายแล้วครับแต่ส่วนที่บังกะโลยังคงมืดเหมือนเดิมครับ ผมเลยเดินเล่นไปที่ชายหาด มองไปร้านอาหาร ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ร้านอาหารเยอะมากครับ ไม่นึกว่าจะเยอะขนาดนี้ เหมือนร้านอาหารที่อ่าวนางแถวบ้านผมเลยครับ แทบไม่น่าเชื่อเลยครับ แต่หานักท่องเที่ยวคนไทย ไม่มีสักคนครับ ผมก็เลยเข้าใจอีกว่า ทำไมพี่ผู้หญิง งงๆกับผมนิดหน่อยตอนผมมาเช็คห้องพัก.
บรรยากาศยามค่ำคืน ช่างเงียบสงบและอากาศดีมากๆครับ คืนนี้ผมมองเห็นดวงจันทร์และดวงดาวเต็มท้องฟ้าเลยครับ ผมได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง เสียงสายลมพัดผ่านอย่างชัดเจน ไร้เสียงมอเตอร์ไซค์ ไร้เสียงรถยนต์ ไร้เสียงเพลง ไร้เสียงรบกวนทุกอย่างๆ เวลานี้สำหรับผมแล้วมันสุดยอดจริงๆครับ... นอนหลับฝันดีนะครับ


5.30 น. นาฬิกาปลุกมือถือของผมดังขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องออกเดินทางเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตรงบริเวณบ้านเกาะจำ เพราะผมสังเกตว่าพระอาทิตย์ตกฝั่งนี้เมื่อวานตอนเย็น พระอาทิตย์จะต้องขึ้นอีกฝั่งคือฝั่งบริเวณท่าเรือเกาะจำแน่นอน ผมพร้อมกับเพื่อนซี้คู่ใจ 250 ออกเดินทางเพื่อไปท่าเรือเกาะจำ ตอนนี้อากาศหนาวมากครับ ผมขับรถผ่านบ้านเกาะจำ ตอนนี้มีชาวบ้านบางคนกำลังเตรียมการเปิดร้านแล้วครับ ผมเห็นอยู่ร้านนึงกำลังทอดไก่อยู่ ผมคิดในใจเดี๋ยวผมจะกลับมาซื้อไปทานที่บังกะโล ตอนนี้ผมมาถึงท่าเรือเกาะจำแล้วครับ ยังมืดอยู่เลยครับ ผมนั่งรออยู่สักพัก ก็พอมีแสงพระอาทิตย์ขึ้นมาบ้าง ผมมองดูแสงแล้วถ้าผมอยู่ที่ท่าเรือเกาะจำนี้ คงมองไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็นแน่ ผมเลยตัดสินใจ ขับรถไปที่หมู่บ้านชาวเลและจอดรถไว้ เพื่อเดินไปบริเวณหน้าโรงเรียนบ้านเกาะจำ



สรุปคือผมตัดสินใจถูกครับ ตอนนี้ใกล้เวลาที่ผมจะได้เห็นแล้ว แสงแดดในตอนเช้าเริ่มมากขึ้น ชาวบ้านบางส่วนเริ่มออกเรือเพื่อไปทำภารกิจครับ


ตอนนี้ผมมองเห็นพระอาทิตย์แล้วครับ เป็นภาพที่สวยงามมากครับ คุ้มค่ากับเวลาที่ผมตื่นเช้าและรอคอยจริงๆครับ ผมถ่ายภาพเสร็จ ผมก็แวะไปที่ร้านขายข้าวเหนียวไก่ทอดเพื่อซื้อไก่ไปทานที่บังกะโล โดยไม่ได้สังเกตว่าเป็นชื่อร้านอะไร เพราะตอนนี้ผมรู้สึกหิวแล้วครับ
ผมขับมอเตอร์ไซค์มาถึงบังกะโล จัดแจงทานข้าวเหนียวไก่ทอด เพื่อเตรียมพร้อมที่ผมจะออกเดินทางไปเกาะปู เพราะผมต้องกลับมา Check out จากบังกะโลที่นี่ตอน 11.30 น.


ผมขับมอเตอร์ไซค์ผ่านหาดติงไหร พร้อมแผนที่เพื่อมุ่งหน้าสู่เกาะปู ต้องยอมรับครับว่า ถนนไปเกาะปูนั้น ยังลำบากมากกว่าถนนบนเกาะจำครับ ต้องขับด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษจริงๆครับ (จากภาพผมถ่ายในบริเวณที่ถือว่าไม่ลำบากครับ)
ระหว่างเส้นทางไปเกาะปู มีทางแยกย่อยอยู่หลายแยก บางช่วงบางตอนผมต้องแวะถามชาวบ้านบริเวณนั้นครับ



ผมขับรถมอเตอร์ไซค์มาจนสุดทางแล้ว มองเห็นชายหาดด้านหน้า ที่นี่คือที่ไหนนะ? มองในแผนที่ไม่ชัดเจนมากนัก ผมมองเห็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง เลยเข้าไปถามว่า ที่นี่คือหาดอะไร? พร้อมกับกางแผนที่ให้ดู เขาตอบว่าที่นี่คือหาดบ้านเกาะปู หรือเรียกว่า อ่าวลุโบ๊ะ ผมขอบคุณเขา และเดินไปที่ชายหาด พร้อมกับคิดในใจ ตกลงผมต้องถามชาวต่างชาตินะเนี่ย แทนที่ผมจะต้องเป็นผู้ให้ข้อมูล ขำดีเหมือนกันครับ


หาดทรายที่อ่าวลุโบ๊ะ เป็นหาดทรายขาวกว่าที่หาดติงไหร บางช่วงของชายหาด ถัดจากทรายไปจะเป็นลักษณะของก้อนหิน มองออกไปก็สวยงามอีกแบบครับ ที่บริเวณชายหาดมีนักท่องเที่ยวต่างชาตินอนอาบแดดอยู่ประปรายครับ 
อ่าวลุโบ๊ะ แห่งนี้มีอะไรให้ผมขำได้อยู่หลายอย่างเหมือนกันครับ อาทิเช่น


ป้ายที่ดูเก๋ไก๋ สวยงาม แต่ก็ไม่เข้าใจว่าบ่งบอกถึงอะไร ???


เก้าอี้นอนอาบแดดบริเวณชายหาด สุดหรูและสุดเท่ห์ ???


  เปลบริเวณชายหาดที่ไม่รู้จะ ไกวอย่างไร???


เปลือกหอยที่ไม่ทราบว่าใครร้อยห้อยไว้ ???


ผมชอบอ่าวลุโบ๊ะแห่งนี้ครับ เพราะผมรู้สึกเหมือนเป็นชายหาดส่วนตัว มีเปลไม้ที่ผูกไว้กับต้นไม้บริเวณชายหาดแบบง่ายๆ ผมจะนั่งตรงไหนก็ได้ ทุกอย่างเป็นอิสระครับ และสิ่งที่เหมือนกันของทุกหาดที่นี่คือ ธรรมชาติและความสงบที่เข้ากันได้อย่างสวยงามและลงตัวครับ
ผมขับรถมอเตอร์ไซค์กลับไปที่บังกะโล เก็บสัมภาระทุกอย่าง เดินไป Check out เตรียมตัวออกเดินทางเพื่อไปคืนรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างและกลับขึ้นฝั่ง ผมขับรถมาถึงบ้านเกาะจำ เลยแวะนั่งดื่มชาเย็น ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ก่อนคืนรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีป้าคนนึงเป็นเจ้าของร้าน ป้าเขาถามกับผมว่า มาจากที่ไหน มาทำอะไรที่นี่ ป้าเขาบอกว่า น้องสาวป้าเขาจำผมได้ว่าผมมาซื้อไก่ทอดเมื่อตอนเช้า ผมยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า อ๋อเหรอครับ เมื่อเช้าผมรีบเลยไม่ได้สังเกตว่าเป็นร้านเดียวกัน ผมอยู่อ่าวนาง ผมมาเที่ยวครับ คุยกันไปเรื่อยผมเลยถามชื่อ ว่าป้าชื่ออะไรครับ? ป้ายิ้มและไม่บอกกับผมแต่ชี้นิ้วไปที่ป้าย ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า MaMa Cooking 
ป้าม่าม่า เล่าเรื่องราวของที่นี่ให้ผมฟังค่อนข้างเยอะ ซึ่งผมคุยกับป้าม่าม่า ได้อย่างถูกคอ จนผมมองดูนาฬิกา ใกล้ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปคืนมอเตอร์ไซค์ ผมจึงบอกลา ป้าม่ามา ผมต้องไปก่อนนะครับป้า ขอบคุณมากครับ. ป้าม่าม่าบอกกับผม ถ้ามีเวลามาเที่ยวอีกนะ ผมรู้สึกตื้นตันใจอยู่ภายในอย่างบอกไม่ถูกครับ
ผมมาถึงร้านมอเตอร์ไซค์เช่าและคืนรถ พร้อมกับถามพี่เขาว่า เรือจะออกไปบนฝั่งอีกเมื่อไหร่ครับ? พี่เขาบอกกับผม ตอน 1.30 น. ซึ่งตรงกับที่พี่โอ๋บอกกับผมเมื่อวาน เพราะผมคิดอยู่ว่าจะโทรหาพี่โอ๋เพื่อให้ไปส่งที่ท่าเรือมูตูอยู่พอดี ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ ผมจึงเดินไปนั่งที่ท่าเรือเกาะจำอีกสักครั้งก่อนกลับ ผมนั่งอยู่สักพักและเดินกลับมา ผมเจอกับพี่โอ๋พอดีครับ จะกลับเลยไหม พี่เขาถามผม ได้ครับพี่ไปเลยครับ เดี๋ยวผมไปนั่งรอที่ท่าเรือมูตูก็ได้ครับ
ผมนั่งรถมอเตอร์ไซค์สามล้อพ่วงและคุยกันไปกับพี่โอ๋ ถึงที่ๆได้ไปเที่ยวมา จนมาถึงท่าเรือมูตู พี่โอ๋จัดแจงไปแจ้งกับกัปตันเรือให้กับผมว่าเดี๋ยวผมจะกลับด้วย
พี่โอ๋หันมาบอกกับผมว่าเป็นเรือลำไหน และพูดกับผมว่า มาเที่ยวอีกนะ ผมยิ้มและตอบไปว่า ถ้ามีโอกาสผมจะมาเที่ยวอีกครับ ขอบคุณครับพี่โอ๋


ทริปเรื่องเล่าจากเกาะจำของผมในครั้งนี้ ผมรู้สึกเหมือนผมได้ถูกย้อนเวลากลับไปอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีแต่ความสงบ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ สิ่งภายนอกรอบกายดูเหมือนไม่จำเป็นมากนัก ทุกอย่างยังคงไร้ซึ่ง ความฟุ่มเฟือย แก่งแย่งและแข่งขัน.
ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตกันแบบไหน? เพื่อใคร? เพราะอะไร? ทำไม? อาจจะมีคำถามมากมายที่ต้องรอวันตอบให้กับตัวของเราเอง แต่สำหรับผมแล้วชีวิตแบบ...
"พอเพียง" คือ สิ่งที่ผมได้รับกลับมาแบบเต็มๆ จากเกาะจำ เกาะสวรรค์ย้อนยุคแห่งนี้
ขอขอบคุณ พี่ที่รับฝากรถและชาวบ้าน บ้านแหลมกรวดสำหรับคำแนะนำ
ขอขอบคุณกัปตันเรือที่พาผมเดินทางไป-กลับอย่างปลอดภัย
ขอขอบคุณพี่โอ๋ มอเตอร์ไซค์สามล้อรับจ้างสำหรับข้อมูลและมิตรภาพที่ดีบนเกาะจำ
ขอขอบคุณ ป้าม่าม่า ร้านอาหารเล็กๆ ที่ชื่อว่า MaMa Cooking
ขอขอบคุณพี่ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ สำหรับการลดราคาและแผนที่บนเกาะจำให้กับผม
ขอขอบคุณนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสำหรับคำแนะนำเส้นทางบนเกาะปู
ขอขอบคุณ รอยยิ้ม ไมตรีและมิตรภาพของชาวบ้าน บ้านเกาะจำ และชาวบ้านบ้านเกาะปู
ขอขอบคุณ เกาะจำ และ เกาะปู สำหรับธรรมชาติที่สวยงามย้อนยุคให้กับผม
ขอขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่ผมพบเจอด้วยความจริงใจจากผมครับ
ขอบคุณครับ
01-กุมภาพันธ์-2554
รักษ์ ปฏิมินทร์

Comments

Popular posts from this blog

"ฝัน" ที่แปรเปลี่ยนไป

ลูกค้าฝรั่ง (แสนแสบ) คนแรก

บ้าน (ฝรั่ง) เช่าหลังแรก